มหาเทวีผู้ทรงพลังอำนาจ
มหาเทวีผู้ทรงพลังอำนาจ
พระแม่ผู้ทรงขจัดคุณไสย มนต์ดำ
พระแม่ผู้ทรงขจัดคุณไสย มนต์ดำ
และทำลายล้างสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง
และทำลายล้างสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง
พระแม่ผู้ประทานความผาสุข
พระแม่ผู้ประทานความผาสุข
และปกป้องคุ้มครองจากภยันอันตราย
และปกป้องคุ้มครองจากภยันอันตราย
ตำนานโดยย่อ กำเนิดพระศรีมหากาลี
ตำนานโดยย่อ กำเนิดพระศรีมหากาลี
ความเป็นมามีอยู่ว่า มีอสูรตนหนึ่ง แม้ว่าจะถูกฆ่ากี่ครั้งก็ไม่มีวันตาย และที่สำคัญกว่านั้น เมื่อเลือดของอสูรตนนี้ตกลงพื้นเมื่อใด ก็จะกำเนิดเป็นอสูรเพิ่มขึ้นเรื่อยไปไม่หมดสิ้น ความที่คิดว่าตนเองมีฤทธิ์มากมายและฆ่าไม่ตาย ทำให้อสูรตนนี้หึกเหิมในความเก่งกาจของตน จึงนำอิทธิฤทธิ์ความเก่งกาจมาใช้ในการทำร้ายผู้คน นักบวช ฤาษี และเทวดา จนสุดท้ายคิดจะครอบครองทั้งสามโลก ทำให้เหล่าเทวดาได้นำเรื่องมาเข้าเฝ้าพระศิวะเพี่อหาทางปราบอสูร จนในที่สุด พระแม่อุมาเทวีได้มีความประสงค์ที่จะเสียสละออกไปปราบอสูรร้ายด้วยพระองค์เอง และพระแม่ได้ขอพรต่อองค์พระศิวะให้ได้มีชัยในครั้งนี้ แล้วจึงเสด็จไปปราบอสูรในรูปของพระแม่กาลี เมี่อพระแม่กาลีต่อสู้กับอสูร และได้ใช้ดาบฟันคออสูรขาด เลือดของอสูรก็หยดลงพื้น จึงเกิดเป็นอสูรจำนวนมากผุดขึ้นมา พระแม่กาลีเห็นดังนั้นจึงคิดว่า หากเป็นเช่นนี้คงไม่มีวันฆ่าอสูรตนนี้ได้เป็นแน่ พระแม่จึงตัดสินใจด้วยความรัก และการเสียสละอันยิ่งใหญ่ ยอมดื่มกินเลือดอสูรเพื่อไม่ให้เลือดอสูรตกลงบนพื้นดินอสูร ตนนี้จึงสิ้นฤทธิ์ และตายในที่สุด ด้วยความดีใจที่ได้รับชัยชนะในครั้งนี้
ความเป็นมามีอยู่ว่า มีอสูรตนหนึ่ง แม้ว่าจะถูกฆ่ากี่ครั้งก็ไม่มีวันตาย และที่สำคัญกว่านั้น เมื่อเลือดของอสูรตนนี้ตกลงพื้นเมื่อใด ก็จะกำเนิดเป็นอสูรเพิ่มขึ้นเรื่อยไปไม่หมดสิ้น ความที่คิดว่าตนเองมีฤทธิ์มากมายและฆ่าไม่ตาย ทำให้อสูรตนนี้หึกเหิมในความเก่งกาจของตน จึงนำอิทธิฤทธิ์ความเก่งกาจมาใช้ในการทำร้ายผู้คน นักบวช ฤาษี และเทวดา จนสุดท้ายคิดจะครอบครองทั้งสามโลก ทำให้เหล่าเทวดาได้นำเรื่องมาเข้าเฝ้าพระศิวะเพี่อหาทางปราบอสูร จนในที่สุด พระแม่อุมาเทวีได้มีความประสงค์ที่จะเสียสละออกไปปราบอสูรร้ายด้วยพระองค์เอง และพระแม่ได้ขอพรต่อองค์พระศิวะให้ได้มีชัยในครั้งนี้ แล้วจึงเสด็จไปปราบอสูรในรูปของพระแม่กาลี เมี่อพระแม่กาลีต่อสู้กับอสูร และได้ใช้ดาบฟันคออสูรขาด เลือดของอสูรก็หยดลงพื้น จึงเกิดเป็นอสูรจำนวนมากผุดขึ้นมา พระแม่กาลีเห็นดังนั้นจึงคิดว่า หากเป็นเช่นนี้คงไม่มีวันฆ่าอสูรตนนี้ได้เป็นแน่ พระแม่จึงตัดสินใจด้วยความรัก และการเสียสละอันยิ่งใหญ่ ยอมดื่มกินเลือดอสูรเพื่อไม่ให้เลือดอสูรตกลงบนพื้นดินอสูร ตนนี้จึงสิ้นฤทธิ์ และตายในที่สุด ด้วยความดีใจที่ได้รับชัยชนะในครั้งนี้
พระแม่จึงเต้นระบำอย่างสำราญใจในที่สุดจนลืมพระองค์ ทรงยกเท้าขึ้นหมายจะกระทืบลงบนพื้นโลกด้วยความดีใจ เหล่าเทวดาเห็นดังนั้น รู้ทันทันทีว่าถ้าพระแม่กระทืบเท้าลงบนพื้นโลก ด้วยพลังอำนาจแห่งพระแม่กาลีพื้นโลกคงจะแตกสลายเป็นแน่แท้ เหล่าเทวดาจึงรีบเข้าเฝ้าพระศิวะเพื่อขอทางแก้ไข พระศิวะเห็นดังนั้นจึงได้เสด็จนอนขวางพื้นโลกเอาไว้ เมื่อพระแม่กาลีก้มลงเห็นพระศิวะนอนขวางอยู่จึงชะงัก ด้วยความรักต่อสวามีจึงหยุดการกระทำนั้น และแลบลิ้นออกมา ด้วยความเขินอายต่อพระสวามี หลังจากนั้นพระแม่จึงกลับสู่ร่างเดิมอีกครั้ง
พระแม่จึงเต้นระบำอย่างสำราญใจในที่สุดจนลืมพระองค์ ทรงยกเท้าขึ้นหมายจะกระทืบลงบนพื้นโลกด้วยความดีใจ เหล่าเทวดาเห็นดังนั้น รู้ทันทันทีว่าถ้าพระแม่กระทืบเท้าลงบนพื้นโลก ด้วยพลังอำนาจแห่งพระแม่กาลีพื้นโลกคงจะแตกสลายเป็นแน่แท้ เหล่าเทวดาจึงรีบเข้าเฝ้าพระศิวะเพื่อขอทางแก้ไข พระศิวะเห็นดังนั้นจึงได้เสด็จนอนขวางพื้นโลกเอาไว้ เมื่อพระแม่กาลีก้มลงเห็นพระศิวะนอนขวางอยู่จึงชะงัก ด้วยความรักต่อสวามีจึงหยุดการกระทำนั้น และแลบลิ้นออกมา ด้วยความเขินอายต่อพระสวามี หลังจากนั้นพระแม่จึงกลับสู่ร่างเดิมอีกครั้ง
ผู้ศรัทธาต่อพระแม่ทั้งหลาย ควรจำไว้เป็นแบบอย่าง ถึงความรักและการเสียสละของพระแม่ การดื่มกินเลือดอสูรในครั้งนั้นไม่ใช่การกระทำที่พระแม่โปรดปราน แต่พระแม่เห็นว่านั่นคือหนทางเดียวในการปราบอสูร จึงต้องดื่มกินเลือดอสูร เพื่อหยุดยั้งความชั่วร้าย และคืนสันติสุขแก่โลกใบนี้อีกครั้ง เพราะฉะนั้นผู้ศรัทธาในพระแม่กาลี ควรทำความเข้าใจว่า พระแม่ไม่ได้ชอบดื่มกินเลือดและไม่ควรถวายอาหารคาวในการบูชาต่อพระแม่ ผู้ใดที่สามารถผ่านมายาและบททดสอบของพระแม่ได้นั้น ทุกคนจะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วพระแม่คือเทพผู้ทรงขจัดความมืดแห่งจิตวิญญาณและทรงประทานพลังอันยิ่งใหญ่ให้ไปสู่หนทางแห่งการหลุดพ้นจากความยึดติดทั้งปวง
ผู้ศรัทธาต่อพระแม่ทั้งหลาย ควรจำไว้เป็นแบบอย่าง ถึงความรักและการเสียสละของพระแม่ การดื่มกินเลือดอสูรในครั้งนั้นไม่ใช่การกระทำที่พระแม่โปรดปราน แต่พระแม่เห็นว่านั่นคือหนทางเดียวในการปราบอสูร จึงต้องดื่มกินเลือดอสูร เพื่อหยุดยั้งความชั่วร้าย และคืนสันติสุขแก่โลกใบนี้อีกครั้ง เพราะฉะนั้นผู้ศรัทธาในพระแม่กาลี ควรทำความเข้าใจว่า พระแม่ไม่ได้ชอบดื่มกินเลือดและไม่ควรถวายอาหารคาวในการบูชาต่อพระแม่ ผู้ใดที่สามารถผ่านมายาและบททดสอบของพระแม่ได้นั้น ทุกคนจะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วพระแม่คือเทพผู้ทรงขจัดความมืดแห่งจิตวิญญาณและทรงประทานพลังอันยิ่งใหญ่ให้ไปสู่หนทางแห่งการหลุดพ้นจากความยึดติดทั้งปวง
คุณลักษณะพิเศษ
คุณลักษณะพิเศษ
พระแม่ทรงมีเทวานุภาพสูงสุดในการปราบปรามสิ่งชั่วร้ายด้วยพลังอำนาจ และวิธีการอันรุนแรง พระแม่จะทรงทำลายผู้ประสงค์ร้ายตามรูปแบบแห่งความผิด และทรงนำความปลอดภัยมาสู่ผู้บูชา และปกป้องคุ้มครองให้ปราศจากภยันอันตราย ทรงบันดาลให้เกิดสันติสุข รวมทั้งประทานความสุขในทุกสิ่งที่ปรารถนาแก่ผู้บูชาที่มีศรัทธาเชี่อมั่นในพระแม่
พระแม่ทรงมีเทวานุภาพสูงสุดในการปราบปรามสิ่งชั่วร้ายด้วยพลังอำนาจ และวิธีการอันรุนแรง พระแม่จะทรงทำลายผู้ประสงค์ร้ายตามรูปแบบแห่งความผิด และทรงนำความปลอดภัยมาสู่ผู้บูชา และปกป้องคุ้มครองให้ปราศจากภยันอันตราย ทรงบันดาลให้เกิดสันติสุข รวมทั้งประทานความสุขในทุกสิ่งที่ปรารถนาแก่ผู้บูชาที่มีศรัทธาเชี่อมั่นในพระแม่
คำแนะนำในการบูชาพระแม่กาลี
คำแนะนำในการบูชาพระแม่กาลี
เนื่องจากพระแม่คือมหาเทวีผู้ขจัดความมืด ประทานแสงสว่างให้แก่มวลมนุษย์ การบูชาขอพรต่อพระองค์จึงควรใช้ดวงประทีปในการขอพร และสิ่งที่พระแม่โปรดปรานคือ การบูชาพระองค์ด้วยการปฏิบัติปราณยามพร้อมการภาวนามนตราแห่งพระแม่ และการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม
เนื่องจากพระแม่คือมหาเทวีผู้ขจัดความมืด ประทานแสงสว่างให้แก่มวลมนุษย์ การบูชาขอพรต่อพระองค์จึงควรใช้ดวงประทีปในการขอพร และสิ่งที่พระแม่โปรดปรานคือ การบูชาพระองค์ด้วยการปฏิบัติปราณยามพร้อมการภาวนามนตราแห่งพระแม่ และการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม
ประวัติการสร้างองค์เทวรูปหินดำพระศรีมหากาลี หนึ่งเดียวในโลก
ประวัติการสร้างองค์เทวรูปหินดำพระศรีมหากาลี หนึ่งเดียวในโลก
พระศรีมหากาลี องค์เทวรูปประธานของเทวสถานแห่งนี้ สร้างขึ้นจากหินดำที่ขุดขึ้นมาจากเหมืองทางตอนใต้ของอินเดีย ทางอาจารย์ผู้สร้างได้นิมิตและมีความตั้งใจว่าจะนำหินก้อนนี้เดินทางประทักษิณา เป็นสามเหลี่ยมยันตราแห่งองค์มหากาลีในประเทศอินเดียก่อน เพื่อให้หินก้อนนี้เวียนขวารับพลังสุริยันจันทรา ให้มีพลังงานศักดิ์สิทธิ์ แล้วจึงทำพิธีอัญเชิญเคลื่อนย้ายหินศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกออกจากเมืองเจนไนในวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ขึ้นไปที่เมืองเดลี ทางเหนือของประเทศอินเดีย และใช้เวลาในการทำพิธีอาบแสงสุริยันจันทรา ขอพรขอพลังจากองค์พระศิวะเจ้า เมื่อเสร็จพิธีในวันที่ 17 มกราคม 2565 เป็นเวลา 3 เดือน แล้วจึงได้อัญเชิญหินศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนย้ายอีกครั้งไปยังเมืองโกลกัลตา เมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งพระแม่กาลี และใช้เวลาในการทำพิธีอาบแสงสุริยันจันทรา ขอพรขอพลังอันสูงสุดจากพระแม่กาลี เป็นเวลา 3 เดือน ในวันที่ 18 เมษายน 2565 แล้วจึงได้อัญเชิญหินศักดิ์สิทธิ์ กลับมายังเมืองเจนไนอีกครั้งจนครบเป็นรูปสามเหลี่ยมยันตรา หลังจากเสร็จพิธีครบทุกสถานที่ในประเทศอินเดีย จึงนำหินศักดิ์สิทธิ์ก้อนนี้เข้ามาสู่ประเทศไทยในวันที่ 29 กันยายน 2565 เพื่อทำพิธีบูชาขอพรจากองค์พระแม่ ก่อนที่จะเริ่มทำการแกะสลักด้วยเครื่อง Robot CNC เพื่อให้องค์เทวรูปมีความงดงามสมบูรณ์มากที่สุด และได้ทำการอัญเชิญเทวรูปหินดำองค์พระศรีมหากาลีที่แกะสลักเสร็จสมบูรณ์เข้ามายังเทวาลัยพระศรีมหากาลีมหาคณปติ โดยทางอาจารย์ผู้สร้างได้ทำพิธีอัญเชิญเทวรูปหินดำพระแม่เข้าสู่ภายในวิหารใหญ่ ในวันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2567 และทำพิธีบรรจุดินศักดิ์สิทธิ์ 5 ประเทศ พร้อมด้วยทองคำ เงิน และอัญมณีล้ำค่าใส่ไว้ภายในแท่นประดิษฐาน ก่อนอัญเชิญเทวรูปพระศรีมหากาลีวางประทับที่แท่นประดิษฐานและปิดด้วยปูนซีเมนต์ ต่อจากนั้นจึงเริ่มทำการลงรักปิดทองเพ้นท์สีที่องค์เทวรูปหินดำ และเปิดให้ผู้ศรัทธาได้กราบไหว้บูชาตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นมา
พระศรีมหากาลี องค์เทวรูปประธานของเทวสถานแห่งนี้ สร้างขึ้นจากหินดำที่ขุดขึ้นมาจากเหมืองทางตอนใต้ของอินเดีย ทางอาจารย์ผู้สร้างได้นิมิตและมีความตั้งใจว่าจะนำหินก้อนนี้เดินทางประทักษิณา เป็นสามเหลี่ยมยันตราแห่งองค์มหากาลีในประเทศอินเดียก่อน เพื่อให้หินก้อนนี้เวียนขวารับพลังสุริยันจันทรา ให้มีพลังงานศักดิ์สิทธิ์ แล้วจึงทำพิธีอัญเชิญเคลื่อนย้ายหินศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกออกจากเมืองเจนไนในวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ขึ้นไปที่เมืองเดลี ทางเหนือของประเทศอินเดีย และใช้เวลาในการทำพิธีอาบแสงสุริยันจันทรา ขอพรขอพลังจากองค์พระศิวะเจ้า เมื่อเสร็จพิธีในวันที่ 17 มกราคม 2565 เป็นเวลา 3 เดือน แล้วจึงได้อัญเชิญหินศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนย้ายอีกครั้งไปยังเมืองโกลกัลตา เมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งพระแม่กาลี และใช้เวลาในการทำพิธีอาบแสงสุริยันจันทรา ขอพรขอพลังอันสูงสุดจากพระแม่กาลี เป็นเวลา 3 เดือน ในวันที่ 18 เมษายน 2565 แล้วจึงได้อัญเชิญหินศักดิ์สิทธิ์ กลับมายังเมืองเจนไนอีกครั้งจนครบเป็นรูปสามเหลี่ยมยันตรา หลังจากเสร็จพิธีครบทุกสถานที่ในประเทศอินเดีย จึงนำหินศักดิ์สิทธิ์ก้อนนี้เข้ามาสู่ประเทศไทยในวันที่ 29 กันยายน 2565 เพื่อทำพิธีบูชาขอพรจากองค์พระแม่ ก่อนที่จะเริ่มทำการแกะสลักด้วยเครื่อง Robot CNC เพื่อให้องค์เทวรูปมีความงดงามสมบูรณ์มากที่สุด และได้ทำการอัญเชิญเทวรูปหินดำองค์พระศรีมหากาลีที่แกะสลักเสร็จสมบูรณ์เข้ามายังเทวาลัยพระศรีมหากาลีมหาคณปติ โดยทางอาจารย์ผู้สร้างได้ทำพิธีอัญเชิญเทวรูปหินดำพระแม่เข้าสู่ภายในวิหารใหญ่ ในวันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2567 และทำพิธีบรรจุดินศักดิ์สิทธิ์ 5 ประเทศ พร้อมด้วยทองคำ เงิน และอัญมณีล้ำค่าใส่ไว้ภายในแท่นประดิษฐาน ก่อนอัญเชิญเทวรูปพระศรีมหากาลีวางประทับที่แท่นประดิษฐานและปิดด้วยปูนซีเมนต์ ต่อจากนั้นจึงเริ่มทำการลงรักปิดทองเพ้นท์สีที่องค์เทวรูปหินดำ และเปิดให้ผู้ศรัทธาได้กราบไหว้บูชาตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นมา
ด้วยศรัทธาอันแรงกล้า ความปรารถนาอันเปี่ยมล้นในจิตใจของอาจารย์ผู้สร้าง ที่ท่านตั้งใจจะสรรสร้างองค์เทวรูปพระศรีมหากาลีหินดำที่งดงามทรงพลังอำนาจสมบูรณ์แบบมากที่สุด หนึ่งเดียวในโลก เพื่อประดิษฐานเอาไว้ในประเทศไทย ให้ผู้ศรัทธาได้รับพรจากพระแม่ ให้บารมีแห่งองค์พระศรีมหากาลีหินดำ ช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายในโลกนี้ให้หมดไปโดยเร็ว ด้วยพลังอันสูงสุดแห่งองค์พระศรีมหากาลีหินดำ จะนำพาผู้ศรัทธาในทั่วทุกมุมโลก ตั้งใจเดินทางมาสักการะบูชาเทวรูปหินดำแห่งพระองค์ในประเทศไทย จะเป็นการช่วยพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับประเทศและจังหวัดชัยภูมิสืบต่อไปในภายภาคหน้า
ด้วยศรัทธาอันแรงกล้า ความปรารถนาอันเปี่ยมล้นในจิตใจของอาจารย์ผู้สร้าง ที่ท่านตั้งใจจะสรรสร้างองค์เทวรูปพระศรีมหากาลีหินดำที่งดงามทรงพลังอำนาจสมบูรณ์แบบมากที่สุด หนึ่งเดียวในโลก เพื่อประดิษฐานเอาไว้ในประเทศไทย ให้ผู้ศรัทธาได้รับพรจากพระแม่ ให้บารมีแห่งองค์พระศรีมหากาลีหินดำ ช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายในโลกนี้ให้หมดไปโดยเร็ว ด้วยพลังอันสูงสุดแห่งองค์พระศรีมหากาลีหินดำ จะนำพาผู้ศรัทธาในทั่วทุกมุมโลก ตั้งใจเดินทางมาสักการะบูชาเทวรูปหินดำแห่งพระองค์ในประเทศไทย จะเป็นการช่วยพัฒนาส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับประเทศและจังหวัดชัยภูมิสืบต่อไปในภายภาคหน้า